‘JWD’ ผนึกพันธมิตรญี่ปุ่น ‘a2network’ ขยายฐานลูกค้า Self-Storage ผ่านโมบายแอพ CloudRoom

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้มีกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าในธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า (Self-Storage) ที่ดำเนินการภายใต้บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี สโตร์ อิท จำกัด โดยร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ (Strategic Alliance) กับบริษัท a2network (Thailand) จำกัด บริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ให้บริการพื้นที่จัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand ตามความต้องการของลูกค้า
ผ่านโมบายแอปพลิเคชัน CloudRoom และเว็บไซต์ jwd.cloudroom.me ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการจัดเก็บของเป็นรายชิ้นหรือรายกล่องโดยไม่ต้องเช่าพื้นที่ทั้งห้อง

ความร่วมมือให้บริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand ครั้งนี้ มองว่าจะตอบโจทย์การเพิ่มทางเลือกแก่ผู้บริโภคในการจัดเก็บสิ่งของที่มีจำนวนไม่มาก จึงไม่ต้องการเช่าพื้นที่ทั้งห้องหรือทั้งล็อกเกอร์ในการจัดเก็บ โดยบริษัทฯ จะคิดค่าบริการจัดเก็บตามขนาดสิ่งของ (ใช้พื้นที่จัดเก็บเท่าไหร่ จ่ายเท่านั้น) และลูกค้าได้รับบริการรับ-ส่งสิ่งของถึงบ้านและนำมาจัดเก็บในพื้นที่ Storage ของบริษัทฯ จึงไม่ต้องเดินทางออกจากที่พักอาศัย ซึ่งจะแตกต่างจากการให้บริการ Self-Storage แบบดั้งเดิมที่ลูกค้าจะต้องนำสิ่งของมาจัดเก็บเอง

“หลังจากเริ่มนำเสนอบริการไปแล้ว เราคาดว่าเมื่อถึงช่วงกลางปีหน้าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 400 รายต่อเดือน คิดเป็นปริมาณสิ่งของที่รับจัดเก็บประมาณ 2,000 กล่องและจะมีจำนวนของที่จัดเก็บสะสมไม่ต่ำกว่า 100,000 กล่องภายใน 5 ปี โดยบริการดังกล่าวเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากกลุ่ม Expat โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาพักอาศัยหรือทำงานในประเทศไทย และมองว่าสามารถขยายการให้บริการแก่ลูกค้าคนไทยที่พักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยจำกัด ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจ Self Storage หรือห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่าของบริษัทฯ ที่สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น” นายชวนินทร์ กล่าว

นาย Daiki Ito กรรมการผู้จัดการ บริษัท a2network (Thailand) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ JWD เพื่อร่วมมือกันขยายฐานลูกค้าที่มีความต้องการใช้บริการจัดเก็บสิ่งของแบบ On-Demand ผ่านแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ โดยบริษัทรุกเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวในช่วงต้นปี 2564 ซึ่งต่อยอดจากความเชี่ยวชาญจากธุรกิจด้านโทรคมนาคม ลูกค้าที่ใช้บริการส่วนใหญ่ประมาณ 90% เป็นชาวญี่ปุ่นที่ทำงานและพักอาศัยในประเทศไทยและมีความต้องการพื้นที่จัดเก็บสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้บ่อย อาทิ อุปกรณ์ตั้งแคมป์ ถุงกอล์ฟ กระเป๋าเดินทาง ชุดสกี เป็นต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับที่อยู่อาศัยปัจจุบัน

ผลตอบรับในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ มีลูกค้าใช้บริการอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงร่วมมือกับ JWD เพื่อขยายการให้บริการแก่ลูกค้าคนไทย โดยสามารถแจ้งความประสงค์ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ จากนั้นบริษัทฯ จะส่งเจ้าหน้าที่ไปรับสิ่งของและนำมาจัดเก็บไว้ที่เจดับเบิ้ลยูดี สโตร์ อิท (JWD Store It!) กรณีจัดเก็บด้วยกล่องกระดาษหรือกล่องพลาสติกที่บริษัทฯ จัดเตรียมให้ (ขนาดเริ่มต้น 34 x 35 x 45 ซม.) คิดค่าบริการ 120 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ผู้ใช้บริการสามารถบันทึกและตรวจสอบรายการสินค้าที่จัดเก็บผ่านทางแอปพลิเคชันและสามารถส่งคำขอใช้บริการรับสิ่งของออกพื้นที่จัดเก็บได้อีกด้วย

“ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันแบบวิน-วินทั้งคู่ เนื่องจาก JWD สามารถขยายฐานลูกค้าและบริการโดยไม่ต้องลงทุนเทคโนโลยีและรถขนส่งเพิ่มเติม ส่วนบริษัทฯ มีพื้นที่ให้บริการจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นและสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ที่เป็นกลุ่มคนไทย จากปัจจุบันที่ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็น Expat ชาวญี่ปุ่นที่ทำงานและพักอาศัยอยู่ในประเทศไทย โดยมองว่าบริการดังกล่าวน่าจะได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มผู้พักอาศัยในคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัด” นาย Daiki Ito กล่าว

ข้อมูลข่าว : https://mgronline.com/business/detail/9650000030621

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *