เมื่อพูดถึงการเช่าห้องเก็บของ (Self-Storage) หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยมากที่สุดก็คือ “ควรเลือกห้องแอร์หรือห้องธรรมดาดี?” เพราะแม้ว่าทั้งสองแบบจะให้บริการพื้นที่เก็บของเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วมีความแตกต่างกันทั้งในด้านราคา เงื่อนไขการใช้งาน และความเหมาะสมกับของที่คุณจะเก็บ
วันนี้เราจะพาคุณมารู้จักกับข้อดี-ข้อเสียของห้องเก็บของทั้งสองประเภท พร้อมคำแนะนำว่าควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับของของคุณที่สุด
📦 ห้องเก็บของ “ธรรมดา” คืออะไร?
ห้องเก็บของแบบธรรมดา (Non-climate controlled) เป็นพื้นที่เก็บของที่ไม่ได้ควบคุมอุณหภูมิภายในห้อง บรรยากาศจะใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอก เช่น ร้อนอบอ้าวในหน้าร้อน และเย็นในหน้าฝน
✅ ข้อดี:
- ค่าเช่าถูกกว่าห้องแอร์มาก
- เหมาะกับของที่ไม่ไวต่ออุณหภูมิ เช่น เฟอร์นิเจอร์ไม้ เครื่องมือช่าง อุปกรณ์ทำสวน หรือกล่องเอกสารทั่วไป
- มีหลายขนาดให้เลือก และหาได้ง่ายในทำเลทั่วไป
❌ ข้อเสีย:
- อุณหภูมิและความชื้นเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศ อาจทำให้ของบางอย่างเสียหายได้ เช่น เชื้อราบนกระดาษ หนัง หรือเสื้อผ้า
- ไม่มีระบบควบคุมสภาพแวดล้อม อาจเกิดกลิ่นอับหากเก็บนาน
❄️ ห้องเก็บของ “แบบแอร์” คืออะไร?
ห้องเก็บของแบบควบคุมอุณหภูมิ (Climate-controlled storage หรือห้องแอร์) เป็นห้องที่มีระบบปรับอากาศตลอดเวลา ช่วยควบคุมความร้อน ความเย็น และความชื้นให้อยู่ในระดับคงที่ เหมาะกับการเก็บของที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่เสถียร
✅ ข้อดี:
- ป้องกันความชื้น เชื้อรา และกลิ่นอับ
- ปลอดภัยกับของมีค่า ของสะสม ภาพวาด หนังสือ เสื้อผ้า เครื่องดนตรี และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- รักษาสภาพของให้อยู่ในสภาพดีแม้เก็บระยะยาว
❌ ข้อเสีย:
- ค่าเช่าสูงกว่าห้องธรรมดาโดยเฉลี่ย 30–60%
- พื้นที่ต่อห้องอาจน้อยกว่า เมื่อเทียบในงบเท่ากัน
🤔 แล้วควรเลือกแบบไหน?
เลือกห้องธรรมดา ถ้า:
- ของที่เก็บไม่ไวต่ออุณหภูมิ เช่น กล่องกระดาษ, เครื่องมือ, เฟอร์นิเจอร์ทั่วไป
- ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
- ใช้เก็บของแค่ช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 1–3 เดือน
เลือกห้องแอร์ ถ้า:
- ของที่เก็บมีมูลค่าสูง หรือเสียหายได้ง่าย เช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม, หนังสือสะสม, กล้อง, เครื่องเสียง
- อยู่ในเขตอากาศร้อนชื้น (เช่น กรุงเทพฯ)
- ต้องการเก็บของระยะยาว หรือเก็บช่วงฤดูฝน/ฤดูร้อน
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกห้องเก็บของที่ “ใช่” สำหรับคุณนะคะ